ศาตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
ประวัติ
ศาตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2450 เป็นบุตรของมหาอำมาตย์ตรี พระยาธรรมสารเวทย์เศษภักดี ศรีสัตยาวัตตาพิริยพาหะ ( ทองดี ธรรมศักดิ์ ) กับคุณหญิงชื้น ธรรมศักดิ์ และได้สมรสกับคุณหญิงพะงา เพ็ญชาติ มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายชาติศักดิ์ ธรรมศักดิ์ กับนายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์
1.ชีวิตการศึกษา
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ การศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ขณะที่อายุได้ 11 ปี บิดาก็เสียชีวิตลง ทำให้ชีวิตที่ราบเรียบสุขสบายเปลี่ยนไปได้รับความยากลำบาก เพราะขาดหัวหน้าครอบครัว ซึ่งในระหว่านี้ก็ได้มีพระอรรถกฤคินิรุตติ์ ( ชม เพ็ญชาติ )เข้ามาให้ความช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่ในทุกๆด้าน
เมื่อท่านเรียนจบจากโรงเรียนอัสสัมชัญ คุณหญิงชื้นผู้เป็นมารดาก็นำไปฝากฝังไว้กับเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร ( ม.ร.ว. ลพ สุทัศน์ ) ผู้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมระท่านจึงได้ทำงานเป็นนักเรียนล่ามประจำ กระทรวง และได้เข้าเรียนวิชากฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ระหว่างนั้นก็ได้อุปสมบทที่วัดเบญจมบพิตร และได้ศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบไล่นักธรรมตรีได้ที่ 1
หลังจากจบการศึกษาเป็นเนติบัณฑิตไทย จากโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ก็ได้สอบชิงทุน “รพีบุญนิธิ” ไปศึกษาวิชากฎหมายที่สำนักกฎหมาย The Middle Temple ประเทศอังกฤษ ตามหลักสูตร 3 ปี แต่ท่านใช้เวลาศึกษาเพียง 2 ปี 3 เดือน ก็สำเร็จเนติบัณฑิตอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2476
2. ชีวิตการทำงาน
ขณะที่ท่านรับราชการอยู่ที่กระทรวงยุติธรรม นอกจากท่านจะใช้วิชาความรู้ทางด้านกฎหมาย เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองแล้ว บทบาทที่เด่นชัดอีกด้านหนึ่ง ก็คือบทบาททางด้านศาสนาโดยได้ร่วมก่อตั่ง “พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย” ซึ่งท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างข้อบังคับของสมาคม จนได้จดทะเบียนตั้งเป็นพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยเป็นผลสำเร็จ เมื่อ พ.ศ. 2476
หลัง จากเกษียณอายุราชการแล้ว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2511 และได้รับเชิญให้เป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2514 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งขณะที่ดำรงตำแหน่งได้พัฒนามหาวิทยาลัยทั้งในด้านวิชาการ ด้านการบริหาร และการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนการหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่อำนวยประโยชน์ทางการศึกษาไว้มากมายเช่น จัดตั้งคณะวารสารศาสตร์และสื่อมวลชน เป็นต้น
ใน ขณะที่ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เกิดความไม่สงบทางการเมืองขึ้น มีการเดินขบวนเรียกร้องรัฐธรรมนูญของนิสิตนักศึกษาและได้เกิดการปะทะกัน ระหว่างรัฐบาลกับนิสิตนักศึกษา จนเกิดจลาจลขึ้นในบริเวณกว้างและกลายเป็นโศกนาฏกรรมวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้จอมพลถนอม กิติขจร ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ ศาตราจารย์สัญญา ธรรม ศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ขณะดำรงตำแหน่งท่านก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาอย่างประนีประนอม และได้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 เพราะถูกกดดันจากฝ่ายต่างๆซึ่งเรียกร้องให้ทำในสิ่งที่กลุ่มของตนต้องการ และเปิดทางให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเลือกนายกรัฐมนตรีที่พอใจ
อย่างไรก็ตาม การลาจากตำแหน่งนายกรัฐมลตรีก็มีผลอยู่ 2 วัน เท่านั้น เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติให้เลือกศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายก อีกครั้งหนึ่ง ฃึ่งตลอดระยะเวลาที่ได้รับบริหารราชการแผ่นดิน ศาสตราจารย์ ธรรม ศักดิ์ ก็ได้สร้างคุณูปการให้กับประเทศชาติอย่างมากเป็นอเนกอนันต์ เช่น การออกกฎหมายปฎิรูปที่ดินและพระราชบัญิญัติว่าด้วยการเช่านา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ชาวนา การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมการผู้ใช้แรงงาน ด้วยการออกกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ และการปฎิรูปการศึกษา เริ่มนโยบายพึ่งพาการส่งออกและการนำเข้ามากขึ้น เพื่อสนับสนุนการลงทุนให้หยั่งรากเติบโตขึ้นในระบบเศรษฐกิจไทย พร้อมกับสนับสนุนส่งเสริมระบบสหกรณ์ตามแนวพระราชดำริทำให้ระบบเศรษฐกิจพึ่ง พาตนเองของประชาชนเจริญเติบโตขึ้น และ ที่สำคัญได้แต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤตมิชอบใน วงราชการ (ป.ป.ป.) ขึ้นและได้ออกกฎหมายรับรองสถานะต่อมาจนได้เป็นของคณะกรรมการปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ป.) ดังที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนี้
รัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2418หลังจากการเสร็จสิ้นการมอบหมายงานให้กับ ม.ร.ม. เสนีย์ ปราโมช หัวหน้ารัฐบาลชุดใหม่ ที่มาจากการเลือกตั้ง
หลังจากพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ให้เป็นองค์มลตรีในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2518 จนถึง วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ก็ได้รับมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ให้เป็นประธานองมลตรีตลอดมา
3. ศาสนา งานด้านพระศาสนา
ศาสตราจารสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นผู้ใส่ใจพุทธศาสนามาตังแต่รุนหนุ่ม และเป็นผู้ศึกษาถึงพุทธรรมอย่างลึกฃึ้ง โดยได้อุทิศตน ให้แก่งานพระพุทธศาสนามายาวนานกว่า 40 ปี ท่านได้เรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอนขององ๕สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และปรัชญาแห่งพระพุทธศาสนา จากท่านเจ้า คุณ พระเทพมุนีแห่ง วัดเบณจมบพิตร ทั้งได้มีโอกาสสนทนาธรรม และศึกษา พระพุทธนาธรรมอย่างกว้างขวาง กับท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ แห่ง วัดสวนโมกขพลาราม จนเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านทุ่มเทการทำงานให้กับพุทธมาคมแห่งประเทศไทยอย่าง เต็มที่และเป็นที่ได้รับบทบาทต่อการส่งเสริมพระพุทธศาสนาโดยได้ดำรงตำแหน่ง นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย และเป็นองค์การพุทธศาสนาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกยาวนานถึง 15 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ให้เกิดแก่อง๕การพุทธ ศาสนาเป็นอเนกประการ ทำให้องค์การพุทธศาสนาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกเป็นปึกแผ่นมั่นคงและวัฒนาถาวร เป็นศูนย์รวมแห่งการเรียนรู้และการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาของพุทธ ศาสนิกชนทั่วโลกอย่างสมบูรณ์ จนได้รับเหรียญเชิดชูเกรียติ ชั้นที่ 1 ในวาระฉลองครบรอบ 50 ปี ขององค์การพุทธศาสนิกชนสัมพันธ์โลก เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ในฐานะบุคคลผู้คุณูปกรแก่องค์การพุทธศาสนา ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของชาวพุทธทั่วโลก
ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.L. 2545 สิริรวมอายุได้ 94 ปี
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
1.เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ แม้จะเป็นลูกพระยา แต่เมื่อสิ้นบิดา ชีวิตก็ลำบากมีแม่คนเดียวิที่จะมาเกื้อหนุน มีพี่ชายคนโตฃึ่งเป็นข้าราชการกรมรถไฟ ฃึ่งจะหวังเป็นที่พึ่งพาให้ได้ แต่พี่ชายก็มาเสียชีวิตขณะท่านเรียนอยู่ต่างแดนโชคดีที่ครอบครัวคหบดีฃึ่ง เป็นศิษย์ของบิดาท่านให้ความอนุเคราะห์
สนับสนุนให้เรียนและเข้าทำงาน ต่อมาท่านได้ทุน “รพับุญนิธิ” ไปศักษาวิชากฎหมายยังประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นทุนที่เอาดอกผลจากนูลนิธิมาใช้ ท่านจึงได้เงินใช้จ่ายประจำเดือนน้อยกว่านักเรียนทุนคนอื่นๆ ความจำกัดด้านทุนจึงกลายเป็นแรงขับที่สำคัญทำให้ท่านได้ใฝ่เรียนมากขึ้น เมื่อไม่ได้เที่ยวสนุกสนานกับคนอื่น เพราะเงินไม่มีก็เข้าห้องสมุดอ่านตำราด้วยความวิริยอุตสาหะจนสามรถสอบเป็น เนติบัณฑิตอังกฤษได้ในเวลาเพียง 2 ปี 3 เดือน ของหลักสูตร 3 ปีเต็ม ความใฝ่รู้ใฝ่เรียนของท่านได้ติดตัวมาตลอด จนในภายหลังได้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดคนหนึ่ง
2. เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ในช่วงที่ตกยากเพราะสิ้นบิดานั้นพระยาอรรถกฤตินิรุตติ์ ( ชม เพ็ญชาติ) ซึ่งเป็นศิษย์ของบิดาที่ได้ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เรียนและให้ทำงาน ท่านถือว่าชีวิตของท่านนอกจากแม่แล้วยังมีท่าสนผู้นี้เป็นผู้มีความอุปการ คุณจึงมีความรู้ศึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างมาก เมื่อมีโอกาสสนองคุณท่านก็ยินดีทำเต็มความสามารถ อาจารย์สัญญาได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ท่าน เจ้าคุณอรรถกฤตินิรุตติ์เป็นผู้เดียวที่หมั่นมาเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุข และให้กำลังใจแกแม่และข้าพเจ้า และในที่สุดท่านก็เป็นผู้ชักนำและรับรองให้ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนวิชากฎหมาย เมื่ออายุ 18 ปี และได้อบรมสั่งสอนให้กำลังใจตลอดมาจนข้าพเจ้าไต่เต้าเป็นตัวเป็นตนมาจนถึง วันนี้
3. เป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริต อาจารย์ สัญญาเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุจริตเนื่องจากท่านได้รับการหล่อหลอมโดยสาย เลือดจากบิดาผู้เป็นนักกฎหมายที่ซื่อสัตย์ ยุติธรรมตลอดถึงแบบอย่างที่ดีจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีบุญคุณ เช่น พระยาอรรถกฤตินิรุตติ์ผู้มีพระคุณทำให้ท่านเป็นผู้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สุจริต ยุติธรรมยิ่งชีวิต รับราชการเกี่ยวกับกฎหมายเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ ที่ยึดมั่นในคุณธรรมจนปรากฏแก่สายตาของสังคม ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า “ ความดีนั้นไม่ใช่สิ่งที่หายากเลย ไม่ต้องไปมองหาที่ไหน หาที่ตัวเราเอง ความดีทั้งหลายอยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ”
4. เป็นผู้ใฝ่ธรรม ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปี ได้สัมผัสกับความร่มเย็นแห่งพระธรรมลาสิขามาแล้วก็ใส่ใจศึกษาธรรมตลอดเวลา และได้ศึกษาธรรมจากท่านพุทธทาสภิกขุแห่งวัดสวนโมกขพลาราม นับเป็นผู้รู้ธรรมะลึกซึ้งและปฏิบัติตามได้คนหนึ่ง ท่านได้ดำรงตำแหน่งนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย และประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกยาวนานถึง 15 ปี และได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติชั้นที่ 1 ( WFB GRAND MERIT MEDALA ) ในฐานะบุคคลผู้มีคุณูปการแก่องค์การพระพุทธศาสนา
5. เป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจารย์สัญญาเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มิใช่จงรักภักดีแต่เพียงในใจเหมือนพสกนิการอื่นๆ แต่มีโอกาสได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด ได้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีและประธานองคมนตรีโดยลำดับเป็นเวลานานถึง 30 ปี ได้ใช้ความรู้ความสามารถสนองพระเดชพระคุณใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างถวายชีวิต ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ดังประจักษ์พยานหลักฐานจากจดหมายของดร. เชาน์ ณ ศีลวันต์ ถึงอาจารย์สัญญาว่า “กระผมได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระ ตำหนักจิตรลดา มีเรื่องหนึ่งที่สั่งให้กระผมเชิญพระราชกระแสรับสั่งมายังท่านประธานว่า ที่อาจารย์สัญญาทำงาน (รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ) มาโดยตลอด ยังไม่เคยทำอะไรผิดพลาดบกพร่องแม้แต่ครั้งเดียว”